ซอกแซกสุดสัปดาห์นี้มาตามสัญญาครับ...คือจะมาเล่าถึงเรื่องราวของนครโฮจิมินห์ หรือไซ่ง่อน ต่อจากคอลัมน์ในวันธรรมดาที่ผมเขียนค้างไว้
โดยเฉพาะเรื่องราวของ "จักรยานยนต์" หรือ "มอเตอร์ไซค์" ที่ผมบอกว่า...ไซ่ง่อน...น่าจะเป็น มหานครแห่งจักรยานยนต์ เพราะมีจักรยานยนต์วิ่งไปวิ่งมาขวักไขว่ตามท้องถนนมากมายเหลือเกิน
ในเอกสารคู่มือเดินทาง ที่หัวหน้าทัวร์ของพวกเรา อาจารย์ เผ่าทอง ทองเจือ แจกให้เราก่อนขึ้นเครื่อง ระบุเอาไว้ว่า "นครโฮจิมินห์เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ มีวิถีชีวิตของผู้คนที่ขวักไขว่ มีจักรยานยนต์วิ่งอยู่ตามท้องถนนมากที่สุดในโลก"
ก่อนเขียนคอลัมน์วันนี้ผมพยายามค้นหาอยู่หลายชั่วโมงว่าที่นี่มีมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลกจริงหรือไม่? ยังไม่ปรากฏหลักฐานหรือคำตอบที่แจ้งชัดครับ
แต่ก็เชื่อได้ว่าน่าจะจริงเพราะจากตัวเลขเท่าที่ค้นเจอไซ่ง่อนเป็นนครที่มีจักรยานยนต์มากมาย ตั้งแต่ 4 ล้านคันขึ้นไปถึง 9 ล้านคัน
เหตุที่ผมใช้ตัวเลข 4-9 ล้านคันข้างต้นก็เพราะในข้อเขียนที่ฝรั่งเขียนถึงนั้นไม่ตรงกันสักราย...รายหนึ่งบอกว่า 4 ล้านคัน อีกรายว่า 5 ล้านคันเศษๆ และรายล่าสุดบอกว่า น่าจะถึง 9 ล้านคันโน่นเลย
สำหรับรายหลังออกจะเว่อร์ไปหน่อย เพราะประชาชนของโฮจิมินห์ ซิตี้ ที่สำรวจล่าสุดมีประมาณ 7 ล้านกว่าคน...ถ้ามีมอเตอร์ไซค์ 9 ล้านคันจริง ก็แสดงว่า คนเมืองนี้มีมอเตอร์ไซค์คนละคัน และบางคนอาจจะมีมากกว่า 1 คันเอาด้วย
ผมจึงเชื่อตัวเลข 4 ล้านคัน หรือ 5 ล้านคันมากกว่า เพราะแค่นี้ก็ถือว่ามากพอดูแล้ว
เวลานั่งรถออกไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำจะมองเห็นขบวนจักรยานยนต์ของชาวไซ่ง่อนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
อาจจะเป็นเพราะไซ่ง่อนมีพื้นที่การจราจรเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เทียบกับลอนดอน หรือปารีสที่มี 15 เปอร์เซ็นต์ หรือแม้แต่กรุงเทพฯ ก็ยังมีประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์..จึงทำให้การจราจรไซ่ง่อนแน่นขนัดกว่าประเทศอื่นๆ
พอไปถึงไฟแดง...เราจะได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นที่บ้านเมืองอื่น แม้แต่ใน กทม.ของเรา คือภาพขบวนมอเตอร์ไซค์ติดอยู่ข้างหน้า และบางทีก็ข้างหลังเราด้วยยาวเหยียดแทบสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
ทั้งขี่เดี่ยวๆ ทั้งขี่แบบมีซ้อนท้าย ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย และบางคันก็มีเด็กๆนั่งแทรกอยู่ตรงกลางมาด้วย
ที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งก็คือ ทุกๆคันไม่ว่าคนขี่ หรือคนซ้อนจะสวมหมวกกันน็อกทั้งหมด
มัคคุเทศก์ท้องถิ่นที่พูดภาษาไทยคล่องปรื๋อ บอกพวกเราว่า เวียดนามประกาศใช้กฎหมายบังคับให้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ต้องใส่หมวกกันน็อก เมื่อปี 2007
เขาบอกเอาไว้ก่อน 6 เดือน ให้เตรียมตัว และพอครบกำหนด 6 เดือนปุ๊บก็จับ และปรับแหลกทันทีถ้าใครไม่สวม
การเป็นประเทศสังคมนิยมก็ดีไปอย่าง ตรงที่เขาคุมกันได้อย่างเข้มข้น ไม่มีใครกล้าขัดกฎหมายใดๆทั้งสิ้น รวมทั้งกฎหมายว่าด้วยการจราจร
เราจึงเห็นคนเวียดนามสวมหมวกกันน็อกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และการขับขี่แม้จะดูฉวัดเฉวียน แต่ก็ไม่ถึงขนาดซิ่งแบบบ้านเรา--รวมทั้งเด็กหนุ่มสาวๆของเขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเด็กแว้นแบบบ้านเรา
เสียงมอเตอร์ไซค์ก็เบากว่า และควันก็น้อยกว่า เพราะเขาห้ามทะลวง หรือดัดแปลงท่อไอเสียอย่างเด็ดขาด
ผมออกมานั่งหน้าโรงแรมที่มีมอเตอร์ไซค์ขวักไขว่ อยู่คืนหนึ่ง ยังแปลกใจที่ไม่มีกลิ่นเหม็นน้ำมันอะไรเลย
ประเด็นที่น่าห่วงสำหรับคนต่างถิ่นอย่างเราๆก็คือ จะข้ามถนนอย่างไรดีล่ะ? เพราะตามถนนต่างๆ หรือตามแยกต่างๆ ทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ มักจะไหลมาไม่หยุด
ไกด์บอกเราว่าอย่ากลัว เมื่อตัดสินใจข้ามถนนแล้ว ขอให้กัดฟันเดินไปเรื่อยๆ รถมอเตอร์ไซค์ (หรือแม้แต่รถเก๋ง) เขาจะเลี่ยงคุณเอง หรือไม่ก็หยุดให้คุณข้ามไปก่อน
แต่ถ้าคุณหยุดเดิน หรือเดินไปแล้วหยุดกลางถนน เขาจะถือว่าคุณหยุดให้ เขาก็จะขับขี่ของเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้คุณหมดสิทธิข้าม
ข้อเขียนของฝรั่งรายหนึ่งแนะนำคล้ายๆกันว่า "คุณต้องเดินข้ามถนนไปเลยอย่าหยุด ถึงเวลาจวนตัวให้มองหน้าคนขี่จักรยานเอาไว้" (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มองหน้าแล้วเขาจะชะลอให้หรือเปล่า--หรือจะมองเพื่อให้จำหน้าได้แม่นยำก่อนโดนชน)
ผมลองปฏิบัติตามคำแนะนำเกือบทุกข้อ
โดยเฉพาะข้อเดินไปเรื่อยๆอย่าหยุดนั้นได้ผลอย่างที่เขาบอกจริงๆแฮะ
แต่อย่าเชื่อผมมากนะครับ...ยังไงๆ ก็ขอให้ระวังๆ เอาไว้เป็นดีที่สุดสำหรับใครก็ตามที่จะไปข้ามถนน ที่ โฮจิมินห์ ซิตี้ในขณะนี้
ระหว่างอยู่ที่โน่นผมไม่เห็นคนขี่มอเตอร์ไซค์สวมเสื้อกั๊ก มีเบอร์ ส.ส. หรือเบอร์อะไรสักอย่างแบบบ้านเรา ก็เลยนึกว่าไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
กลับมาบ้านเปิดอ่านข้อเขียนของฝรั่งเขาบอกว่ามีแล้วก็มีเยอะเสียด้วย เขาเรียกตรงไปตรงมาว่า "มอเตอร์ไบค์ แท็กซี่"
สนนราคาก็ไม่แพงนัก นั่งซ้อนวิ่งไปวิ่งมาในตัวเมืองสั้นๆ ประมาณ 10,000 ด่อง หรือ 20 บาท เท่านั้น และจากในเมืองไปสนามบินเขาก็คิด 30,000 ด่อง หรือ 60 บาท ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกกว่าค่าแท็กซี่ทั่วๆไปราวๆครึ่งหนึ่ง
เขายังคุยด้วยว่า บรรดามอเตอร์ไซค์รับจ้างในตัวเมืองโดยเฉพาะในเขต 1 ซึ่งถือเป็นเขตเจริญสูงสุดและมีโรงแรมดีๆ ตั้งอยู่เยอะแยะนั้น...บางคนพูดภาษาอังกฤษ ได้พอสมควรทีเดียวเชียว
สำหรับท่านที่จะลองขี่มอเตอร์ไซค์เองเขาก็มีให้เช่าในหลายๆจุด...ใครอยากจะเช่าแล้วขับขี่ไปเสี่ยงดวงเองก็เชิญได้เลย สนนราคาที่เขาบอกไว้ตกประมาณ 100,000 ด่อง หรือ 200 บาท ต่อชั่วโมง
แต่ในข้อเขียนของฝรั่งรายนี้ก็ย้ำไว้ด้วยว่า ถ้าเราไม่แน่จริงอย่าดีกว่า นั่งซ้อนคนอื่นเหอะถูกกว่าและปลอดภัยกว่าเยอะ
ดีที่สุดปลอดภัยที่สุดก็ควรไปแท็กซี่ หรือแม้แต่ รถเมล์ถ้าเรารู้เส้นทาง
ครับ! ก็เป็นเรื่องราวของมหานครมอเตอร์ไซค์ "โฮจิมินห์ ซิตี้" ที่ผมยังไม่เคยเขียนถึง จึงต้องขออนุญาตกลับมาเขียนเสียให้ครบถ้วน
เขียนๆไปก็อดอิจฉาเขาไม่ได้ เพราะทั้งๆที่เขามีมอเตอร์ไซค์เยอะกว่ายั้วเยี้ยกว่า แต่เขาสามารถคุมกันได้อยู่หมัด ไม่มีข่าวเด็กซิ่ง เด็กแว้น อะไรเลย
ประเภทนัดไปแข่งเป็นแก๊งเป็นก๊วนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านนั้น ผมถามไกด์เขาแล้วเขาบอกว่า ไม่มีแน่นอน และก็คงไม่มีใครกล้า
บ้านเมืองใดที่กฎหมายเป็นกฎหมาย แม้จะยั้วเยี้ยวุ่นวายแค่ไหน เขาก็คุมกันอยู่...ส่วนบ้านเมืองที่กฎหมายเป็นกฎหมัน ก็อย่างที่เห็นๆนี่แหละครับ
เมื่อวานนี้เองมั้ง สถานีวิทยุ สวพ.91 เขาแถลงว่า ถนนที่ชาวบ้านโทรศัพท์มาร้องเรียนมากที่สุดว่ามีวัยรุ่นใช้เป็นสนามแข่งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์นั้น ได้แก่ ถนนเกษตร–นวมินทร์ ซึ่งมีการแข่งถึง 913 ครั้ง ตั้งแต่ 1 ม.ค. 52-30 พ.ย. 52
สงสัยจะต้องยืมตัวผู้บัญชาการตำรวจนคร โฮจิมินห์มาช่วยราชการไทยในตำแหน่งผู้บัญชาการ ตำรวจนครบาลแบงค็อกไทยแลนด์ สัก 3 เดือนละมั้งเนี่ย เผื่อจะปราบเด็กแว้นได้ราบคาบอย่างเขาบ้าง.
เพิ่มเติม http://www.thairath.co.th/
โดยเฉพาะเรื่องราวของ "จักรยานยนต์" หรือ "มอเตอร์ไซค์" ที่ผมบอกว่า...ไซ่ง่อน...น่าจะเป็น มหานครแห่งจักรยานยนต์ เพราะมีจักรยานยนต์วิ่งไปวิ่งมาขวักไขว่ตามท้องถนนมากมายเหลือเกิน
ในเอกสารคู่มือเดินทาง ที่หัวหน้าทัวร์ของพวกเรา อาจารย์ เผ่าทอง ทองเจือ แจกให้เราก่อนขึ้นเครื่อง ระบุเอาไว้ว่า "นครโฮจิมินห์เป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ มีวิถีชีวิตของผู้คนที่ขวักไขว่ มีจักรยานยนต์วิ่งอยู่ตามท้องถนนมากที่สุดในโลก"
ก่อนเขียนคอลัมน์วันนี้ผมพยายามค้นหาอยู่หลายชั่วโมงว่าที่นี่มีมอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลกจริงหรือไม่? ยังไม่ปรากฏหลักฐานหรือคำตอบที่แจ้งชัดครับ
แต่ก็เชื่อได้ว่าน่าจะจริงเพราะจากตัวเลขเท่าที่ค้นเจอไซ่ง่อนเป็นนครที่มีจักรยานยนต์มากมาย ตั้งแต่ 4 ล้านคันขึ้นไปถึง 9 ล้านคัน
เหตุที่ผมใช้ตัวเลข 4-9 ล้านคันข้างต้นก็เพราะในข้อเขียนที่ฝรั่งเขียนถึงนั้นไม่ตรงกันสักราย...รายหนึ่งบอกว่า 4 ล้านคัน อีกรายว่า 5 ล้านคันเศษๆ และรายล่าสุดบอกว่า น่าจะถึง 9 ล้านคันโน่นเลย
สำหรับรายหลังออกจะเว่อร์ไปหน่อย เพราะประชาชนของโฮจิมินห์ ซิตี้ ที่สำรวจล่าสุดมีประมาณ 7 ล้านกว่าคน...ถ้ามีมอเตอร์ไซค์ 9 ล้านคันจริง ก็แสดงว่า คนเมืองนี้มีมอเตอร์ไซค์คนละคัน และบางคนอาจจะมีมากกว่า 1 คันเอาด้วย
ผมจึงเชื่อตัวเลข 4 ล้านคัน หรือ 5 ล้านคันมากกว่า เพราะแค่นี้ก็ถือว่ามากพอดูแล้ว
เวลานั่งรถออกไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำจะมองเห็นขบวนจักรยานยนต์ของชาวไซ่ง่อนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
อาจจะเป็นเพราะไซ่ง่อนมีพื้นที่การจราจรเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เทียบกับลอนดอน หรือปารีสที่มี 15 เปอร์เซ็นต์ หรือแม้แต่กรุงเทพฯ ก็ยังมีประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์..จึงทำให้การจราจรไซ่ง่อนแน่นขนัดกว่าประเทศอื่นๆ
พอไปถึงไฟแดง...เราจะได้เห็นภาพที่ไม่เคยเห็นที่บ้านเมืองอื่น แม้แต่ใน กทม.ของเรา คือภาพขบวนมอเตอร์ไซค์ติดอยู่ข้างหน้า และบางทีก็ข้างหลังเราด้วยยาวเหยียดแทบสุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
ทั้งขี่เดี่ยวๆ ทั้งขี่แบบมีซ้อนท้าย ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ชาย และบางคันก็มีเด็กๆนั่งแทรกอยู่ตรงกลางมาด้วย
ที่น่าชื่นชมอย่างยิ่งก็คือ ทุกๆคันไม่ว่าคนขี่ หรือคนซ้อนจะสวมหมวกกันน็อกทั้งหมด
มัคคุเทศก์ท้องถิ่นที่พูดภาษาไทยคล่องปรื๋อ บอกพวกเราว่า เวียดนามประกาศใช้กฎหมายบังคับให้ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์ต้องใส่หมวกกันน็อก เมื่อปี 2007
เขาบอกเอาไว้ก่อน 6 เดือน ให้เตรียมตัว และพอครบกำหนด 6 เดือนปุ๊บก็จับ และปรับแหลกทันทีถ้าใครไม่สวม
การเป็นประเทศสังคมนิยมก็ดีไปอย่าง ตรงที่เขาคุมกันได้อย่างเข้มข้น ไม่มีใครกล้าขัดกฎหมายใดๆทั้งสิ้น รวมทั้งกฎหมายว่าด้วยการจราจร
เราจึงเห็นคนเวียดนามสวมหมวกกันน็อกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และการขับขี่แม้จะดูฉวัดเฉวียน แต่ก็ไม่ถึงขนาดซิ่งแบบบ้านเรา--รวมทั้งเด็กหนุ่มสาวๆของเขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเด็กแว้นแบบบ้านเรา
เสียงมอเตอร์ไซค์ก็เบากว่า และควันก็น้อยกว่า เพราะเขาห้ามทะลวง หรือดัดแปลงท่อไอเสียอย่างเด็ดขาด
ผมออกมานั่งหน้าโรงแรมที่มีมอเตอร์ไซค์ขวักไขว่ อยู่คืนหนึ่ง ยังแปลกใจที่ไม่มีกลิ่นเหม็นน้ำมันอะไรเลย
ประเด็นที่น่าห่วงสำหรับคนต่างถิ่นอย่างเราๆก็คือ จะข้ามถนนอย่างไรดีล่ะ? เพราะตามถนนต่างๆ หรือตามแยกต่างๆ ทั้งรถยนต์ และรถมอเตอร์ไซค์ มักจะไหลมาไม่หยุด
ไกด์บอกเราว่าอย่ากลัว เมื่อตัดสินใจข้ามถนนแล้ว ขอให้กัดฟันเดินไปเรื่อยๆ รถมอเตอร์ไซค์ (หรือแม้แต่รถเก๋ง) เขาจะเลี่ยงคุณเอง หรือไม่ก็หยุดให้คุณข้ามไปก่อน
แต่ถ้าคุณหยุดเดิน หรือเดินไปแล้วหยุดกลางถนน เขาจะถือว่าคุณหยุดให้ เขาก็จะขับขี่ของเขาไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้คุณหมดสิทธิข้าม
ข้อเขียนของฝรั่งรายหนึ่งแนะนำคล้ายๆกันว่า "คุณต้องเดินข้ามถนนไปเลยอย่าหยุด ถึงเวลาจวนตัวให้มองหน้าคนขี่จักรยานเอาไว้" (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มองหน้าแล้วเขาจะชะลอให้หรือเปล่า--หรือจะมองเพื่อให้จำหน้าได้แม่นยำก่อนโดนชน)
ผมลองปฏิบัติตามคำแนะนำเกือบทุกข้อ
โดยเฉพาะข้อเดินไปเรื่อยๆอย่าหยุดนั้นได้ผลอย่างที่เขาบอกจริงๆแฮะ
แต่อย่าเชื่อผมมากนะครับ...ยังไงๆ ก็ขอให้ระวังๆ เอาไว้เป็นดีที่สุดสำหรับใครก็ตามที่จะไปข้ามถนน ที่ โฮจิมินห์ ซิตี้ในขณะนี้
ระหว่างอยู่ที่โน่นผมไม่เห็นคนขี่มอเตอร์ไซค์สวมเสื้อกั๊ก มีเบอร์ ส.ส. หรือเบอร์อะไรสักอย่างแบบบ้านเรา ก็เลยนึกว่าไม่มีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
กลับมาบ้านเปิดอ่านข้อเขียนของฝรั่งเขาบอกว่ามีแล้วก็มีเยอะเสียด้วย เขาเรียกตรงไปตรงมาว่า "มอเตอร์ไบค์ แท็กซี่"
สนนราคาก็ไม่แพงนัก นั่งซ้อนวิ่งไปวิ่งมาในตัวเมืองสั้นๆ ประมาณ 10,000 ด่อง หรือ 20 บาท เท่านั้น และจากในเมืองไปสนามบินเขาก็คิด 30,000 ด่อง หรือ 60 บาท ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกกว่าค่าแท็กซี่ทั่วๆไปราวๆครึ่งหนึ่ง
เขายังคุยด้วยว่า บรรดามอเตอร์ไซค์รับจ้างในตัวเมืองโดยเฉพาะในเขต 1 ซึ่งถือเป็นเขตเจริญสูงสุดและมีโรงแรมดีๆ ตั้งอยู่เยอะแยะนั้น...บางคนพูดภาษาอังกฤษ ได้พอสมควรทีเดียวเชียว
สำหรับท่านที่จะลองขี่มอเตอร์ไซค์เองเขาก็มีให้เช่าในหลายๆจุด...ใครอยากจะเช่าแล้วขับขี่ไปเสี่ยงดวงเองก็เชิญได้เลย สนนราคาที่เขาบอกไว้ตกประมาณ 100,000 ด่อง หรือ 200 บาท ต่อชั่วโมง
แต่ในข้อเขียนของฝรั่งรายนี้ก็ย้ำไว้ด้วยว่า ถ้าเราไม่แน่จริงอย่าดีกว่า นั่งซ้อนคนอื่นเหอะถูกกว่าและปลอดภัยกว่าเยอะ
ดีที่สุดปลอดภัยที่สุดก็ควรไปแท็กซี่ หรือแม้แต่ รถเมล์ถ้าเรารู้เส้นทาง
ครับ! ก็เป็นเรื่องราวของมหานครมอเตอร์ไซค์ "โฮจิมินห์ ซิตี้" ที่ผมยังไม่เคยเขียนถึง จึงต้องขออนุญาตกลับมาเขียนเสียให้ครบถ้วน
เขียนๆไปก็อดอิจฉาเขาไม่ได้ เพราะทั้งๆที่เขามีมอเตอร์ไซค์เยอะกว่ายั้วเยี้ยกว่า แต่เขาสามารถคุมกันได้อยู่หมัด ไม่มีข่าวเด็กซิ่ง เด็กแว้น อะไรเลย
ประเภทนัดไปแข่งเป็นแก๊งเป็นก๊วนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านนั้น ผมถามไกด์เขาแล้วเขาบอกว่า ไม่มีแน่นอน และก็คงไม่มีใครกล้า
บ้านเมืองใดที่กฎหมายเป็นกฎหมาย แม้จะยั้วเยี้ยวุ่นวายแค่ไหน เขาก็คุมกันอยู่...ส่วนบ้านเมืองที่กฎหมายเป็นกฎหมัน ก็อย่างที่เห็นๆนี่แหละครับ
เมื่อวานนี้เองมั้ง สถานีวิทยุ สวพ.91 เขาแถลงว่า ถนนที่ชาวบ้านโทรศัพท์มาร้องเรียนมากที่สุดว่ามีวัยรุ่นใช้เป็นสนามแข่งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์นั้น ได้แก่ ถนนเกษตร–นวมินทร์ ซึ่งมีการแข่งถึง 913 ครั้ง ตั้งแต่ 1 ม.ค. 52-30 พ.ย. 52
สงสัยจะต้องยืมตัวผู้บัญชาการตำรวจนคร โฮจิมินห์มาช่วยราชการไทยในตำแหน่งผู้บัญชาการ ตำรวจนครบาลแบงค็อกไทยแลนด์ สัก 3 เดือนละมั้งเนี่ย เผื่อจะปราบเด็กแว้นได้ราบคาบอย่างเขาบ้าง.
เพิ่มเติม http://www.thairath.co.th/
0 comments:
Post a Comment