Sunday, June 12, 2011

10 สุดยอดรถมอเตอร์ไซค์


นี่คือรถจักรยานยนต์ทั้ง 10 คันจาก 9 บริษัทผู้ผลิตที่ได้รับการโหวตว่าพวกมันคือสุดยอดตลอดกาลของโลกแห่งรถสองล้อติดเครื่องยนต์...

จักรยานยนต์สองล้อ เป็นพาหนะในการเดินทางที่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้มานานกว่า 100ปีแล้วตั้งแต่ยุคแรกเริ่มของการประดิษฐ์เครื่องจักรกลเพื่อการเคลื่อนที่ ของมนุษย์มาจนถึงยุคปัจจุบันรถมอเตอร์ไซค์ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของผู้คน ที่ต้องการพาหนะในการเดินทางที่มีราคาไม่แพง เล็กกระทัดรัด ประหยัดเชื้อเพลิงและบำรุงรักษาได้ง่ายกว่ารถยนต์กาล เวลาได้เดินทางมาจนถึงยุคที่รถจักรยานยนต์กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นที่ใช้ใน ชีวิตประจำวันของผู้คนจากรถมอเตอร์ไซค์ราคาถูกเครื่องยนต์ขนาดจิ๋วไปจนถึง ของเล่นราคาแพงของเหล่าเศรษฐีคนมีตังค์ และนี่คือรถสองล้อติดเครื่องยนต์ทั้ง 10คันในแต่ละยุคสมัย ที่มีความยอดเยี่ยมจนได้รับการบันทึกเอาไว้ว่ามันคือรถจักรยานยนต์ที่ดีที่ สุดเท่าที่มนุษย์เคยสร้างขึ้น



Harley Davidson Knucklehead 1935




อันดับที่10
HarleyDavidson ทำให้วงการรถมอเตอร์ไซค์ต้องตะลึง เมื่อทำการเปิดตัว EL 61หรือที่รู้จักกันในนาม Knucklehead เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1935ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของระบบวาล์วแบบใหม่ล่าสุดในยุคนั้นนักเลงมอเตอร์ไซค์ ต่างพากันประทับใจ ในขณะที่เครื่องยนต์ Side-Valveคือเครื่องยนต์ที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานแบบ Big V-Twinsซึ่งต่อมากลายเป็นสไตล์ของรถจักรยานยนต์จาก Harleys Davidsonรถมอเตอร์ไซค์ Knucklehead มีการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมพลังของเครื่องยนต์เหนือกว่า และความสวยงามของรูปทรงทำให้รถรุ่นนี้ได้รับความนิยมจนขึ้นสู่ทำเนียบ จักรยานยนต์คลาสสิกของโลกเครื่องยนต์โอเวอร์เฮตวาว์ลให้พลัง 40 แรงม้าที่ 4,800 รอบต่อนาทีความเร็วสูงสุดประมาณ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง



Moto Guzzi V8 1955




อันดับที่9
รถจักรยานยนต์แบบแข่งขันในยุค 1950 ของยุโรปจากบริษัท Moto Guzziแห่งประเทศอิตาลี ได้จับเอาจินตนาการในการออกแบบจากสนามแข่งเพื่อให้มันสามารถทำความเร็วทั้ง ทางตรงและทางโค้งในสนามแข่งขันของรายการมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก ในยุค 50 Moto Guzzi V8เป็นรถแข่งทางเรียบที่มีเครื่องยนต์ขนาด 500 ซี.ซี.ซึ่งสร้างพละกำลังได้อย่างเหลือเชื่อโดยเกิดจากมันสมองอันอัจฉริยะของ วิศวกรชาวอิตาเลียนชื่อ Guiliano Carcanoในช่วงปี ค.ศ. 1955-1957 รถมอเตอร์ไซค์MotoGuzzi V8 ถูกพัฒนาจนสามารถทำลายสถิติจากการแข่งขันรถจักรยานยนต์ในรุ่นGP ในปี ค.ศ. 1957และคว้าตำแหน่งชนะเลิศโดยมีความเหนือกว่าทั้งเทคโนโลยีของเครื่องยนต์ และแรงม้าที่มีมากกว่ารถจักรยานยนต์จากผู้ผลิตรายอื่น เช่นเยอรมัน, อังกฤษและรถเพื่อนร่วมชาติร่วมสายพันธุ์อย่างอิตาลี การแข่งขันในครั้งนั้นเครื่องยนต์ V8 500 ซี.ซี. ขนาดเล็กของมันก็สามารถบรรลุความเร็วอันน่าขนหัวลุกที่ 187 ไมล์ต่อชั่วโมงในรอบเครื่องยนต์ที่สูงถึง 12,500 รอบต่อนาทีบนน้ำหนักของตัวรถทั้งคันที่หนักแค่ 135 กิโลกรัมเท่านั้นการออกแบบระบบจ่ายเชื้อเพลิงพิเศษสำหรับเครื่องยนต์โดยใช้ คาร์บูเรเตอร์ของ Dell'Orto ในจำนวนถึง 4 ตัวทำให้การป้อนเชื้อเพลิงและอากาศปริมาณมากๆ เข้าสู่เครื่องยนต์แล้วกลั่นออกมาเป็นแรงม้า และแรงบิดอันท่วมท้นมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือชัยชนะในสนามแข่งขัน



Vespa 1946-2010




อันดับที่8
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง และประเทศอิตาลีอยู่ในสถานะแพ้สงครามบริษัท Piaggio ที่แต่เดิมมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนของเรือและชิ้นส่วนของเครื่องบินรบในกองทัพ ต้องหันมาผลิตเครื่องยนต์แบบง่ายๆเพื่อความอยู่รอด จึงหันมาผลิตเครื่องยนต์ขนาดเล็กของรถจักรยานยนต์และเกิดความคิดที่สร้างยาน พาหนะคันเล็กๆ เอาไว้เดินทางขนส่งในอิตาลีซึ่งมีถนนหนทางในเมืองใหญ่ ที่เต็มไปด้วยตรอกซอกซอยเล็กๆด้วยการใช้เศษซากอลูมิเนียมจากชิ้นส่วนของ เครื่องบินมาขึ้นรูปจนออกมาเป็นสกู๊ตเตอร์ หรือรถจักรยานยนต์คันเล็กๆ ที่มีล้อต่ำ(ล้อของรถVespaในยุคแรกเริ่มยังคงใช้ล้อหลังของเครื่องบินที่ถูก นำมาดัดแปลง แล้วติดตั้งเข้าไป)ช่วยในการขับขี่ ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน และมีราคาขายไม่แพงจนเกินไปเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 รถเวสป้ารุ่น MP6ก็ถูกผลิตออกมาด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่เน้นความสะดวกสบายมีล้ออะไหล่ พร้อมยางที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังการออกแบบเพื่อให้ขับขี่ได้ง่ายเสียงของ เครื่องยนต์ดังคล้ายกับฝูงตัวต่อที่กำลังบิน มันจึงถูกตั้งชื่อว่าVespa ซึ่งแปลว่า "ตัวต่อ" ในภาษาอิตาเลี่ยนนั่นเอง รุ่นแรกของมอเตอร์ไซค์Vespa เป็นสกู๊ตเตอร์ขนาดเล็ก ที่ใช้โครงสร้างตัวถังแบบชั้นเดียวหลังจากผลิตรถรุ่นดังกล่าวได้ประมาณ 100 คันจึงลงมือผลิตรุ่นที่ใช้ชื่อว่า Vespa (Wasp) ตามออกมารถรุ่นนี้มีความก้าวหน้ามาก ทั้งในด้านรูปทรงและด้านวิศวกรรมซึ่งต่อมาได้กลายเป็นต้นแบบของ Vespa ที่มีการวางจำหน่ายในท้องตลาดจนถึงกลางทศวรรษ 1990 สกู๊ตเตอร์รุ่นแรกมีขนาดเครื่องยนต์เพียง 98 ซี.ซี.ต่อมาได้มีการพัฒนาให้มีขนาด 125 ซี.ซี. 150 ซี.ซี. และ 200 ซี.ซี.ตามลำดับ



Brough Superior SS 8 1925




อันดับที่7
นี่คือรถจักรยานยนต์คุณภาพสูงจากความคิดในการสร้างสรรค์ของชายชาวอังกฤษ ชื่อGeorge Brough ซึ่งทำหน้าที่วิศวกรของโรงงานผลิตเครื่องจักร์กล เช่นรถมอเตอร์ไซค์ และรถยนต์ในเมือง Nottingham ประเทศอังกฤษ ในช่วงปีค.ศ.1919-1940 รถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8 ถูกเปรียบเทียบว่ามันคือRolls-Royceในโลกของมอเตอร์ไซค์สองล้อโดยนิตยสารรถ จักรยานยนต์ชั้นนำในยุโรปรถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8 ถูกผลิตเพียง 3,048 คัน ใน 19 แบบจากช่วงเวลาของอายุไขในการผลิต 21 ปี George Brough เป็นทั้งนักแข่งวิศวกร และนักออกแบบ ทำให้การสร้างรถจักรยานยนต์ Brough Superiorมีประสิทธิภาพและคุณภาพที่เหนือกว่ารถจักรยานยนต์อื่นๆ ในยุค 1920-1940การประกอบรถจักรยานยนต์ Brough Superior SS 8แต่ละคันมีความละเอียดปราณีตสูงมากจนสามารถเทียบได้กับการประกอบรถยนต์ของ บริษัท Rolls-Royce เลยทีเดียวชิ้นส่วนทุกชิ้น สำหรับองค์ประกอบทั้งหมดของตัวรถจะถูกสร้างขึ้นตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามที่ ต้องการแล้วลงมือประกอบทีละส่วนจนเสร็จ มอเตอร์ไซค์ Brough Superior SS 8 ทุกคันจะถูกทดสอบอีกหลายครั้ง หลังจากขั้นตอนในการผลิตและทดสอบเสร็จสิ้นลงมันจะถูกประทับตราโดยใช้ชื่อของ George Brough เพื่อการรับประกันตัวรถสามารถทำความเร็วได้กว่า 100 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ160กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ความเร็วประมาณ 90 ไมล์ต่อชั่วโมงผู้ขับขี่สามารถปล่อยมือจากคันบังคับได้อย่างสบายซึ่งแสดงให้ เห็นถึงความเสถียรของตัวรถและทำให้มันกลายเป็นรถจักรยานยนต์ที่แพงที่สุดใน ยุค 1920-1930ในปัจจุบันนี้ รถมอเตอร์ไซค์ Brough Superior SS 8 มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า40,000 เหรียญ และขึ้นสู่ทำเนียบจักรยานยนต์คลาสสิกตลอดกาลทั้งจากสมถรรนะและความหายากของ มัน



Britten V1000 1995




อันดับที่ 6
Brittenคือรถจักรยานยนต์ที่เกิดจากความฝันและแรงบันดาลใจของ John Brittenชายชาวอเมริกันผู้ซึ่งรักความเร็วและการแข่งขันจักรยานยนต์เป็นชีวิต จิตใจJohn Britten มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเพื่อสร้างเอกลักษณ์และสมถรรนะอันสุดยอดของรถ มอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขันและทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆซึ่งต่อมากลายเป็น สิ่งที่ดีที่สุดในโลกแห่งกีฬามอเตอร์สปอร์ตสองล้อ รถV1000 เป็นชัยชนะของความเฉลียวฉลาด และความเพียรในการคิดค้นออกแบบและสร้างสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อใช้ในการแข่งขัน รถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลกBritten V1000 คือแบบอย่างทางวิศวกรรมขั้นสูงแต่ใช้ทุนวิจัยไม่มากเท่ากับรถจักรยานยนต์ที่ ใช้ในการแข่งขันของทีมแข่งจากค่ายผู้ผลิตอื่นๆ ทั้งญี่ปุ่นและอิตาลีซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณในการพัฒนามากกว่า หลายเท่ากระบวนการผลิตรถ Britten V1000 เกิดขึ้นในบริเวณสวนหลังบ้านของ JohnBirtten เอง ซึ่งดัดแปลงเป็นโรงงานขนาดเล็กเฟรมตัวถังใช้วัสดุประเภทคาร์บอนคอมโพสิต น้ำหนักเบาแขนอามส์หลังแบบเดี่ยวขนาดใหญ่ทำจากเคฟล่าเครื่องยนต์สี่จังหวะ ปริมาตรความจุ 985 ซี.ซี. วางทำมุม 60 องศาแบบ V-Twin155 แรงม้า บนน้ำหนักตัวที่เบาหวิวเพียง 145 กิโลกรัมหลังจากประสบความสำเร็จในสนามแข่งทั่วสหรัฐอเมริกา John Brittenวิศวกรเจ้าของแนวคิด เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในปี 1995 ด้วยวัยเพียง 45ปี คงเหลือทิ้งไว้แต่เพียงตัวรถต้นแบบ ที่ต่อมาทีมรถแข่งชั้นนำทั่วโลกนำเอาแบบอย่างของมันมาใช้จนถึงทุกวันนี้




Triumph Bonneville 1959



อันดับที่5
นี่คือมอเตอร์ไซค์สุดคลาสสิกในยุค 1960 ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจากประสิทธิภาพ รูปแบบ และพลัง การออกแบบที่คำนึงถึงการขับขี่และความเชื่อมโยงระหว่างนักบิดและตัวรถ ที่สอดประสานกันเป็นอย่างดีเมื่อติดเครื่องยนต์ขนาด 650 ซี.ซี. รถ Triumph Bonnevilleจะสั่นสะท้านเป็นเจ้าเข้าทรงทั้งคันซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการประ กอบตัวรถจากโรงงานแต่เกิดจากพลังของเครื่องยนต์และการคำนวนรูปแบบของเฟรมที่ ยึดเครื่องยนต์และตัวถังเข้าไว้ด้วยกันเพื่อให้มันมีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือน ใคร เครื่องยนต์สี่จังหวะ 3 สูบ 46แรงม้า ที่เร่งความเร็วได้ถึง 115 ไมล์ต่อชั่วโมง ความแข็งแกร่งทนทานบวกกับพละกำลังและรูปทรงที่งดงามของจักรยานยนต์ในสไตล์ อังกฤษ ทำให้รถBonneville ทุกรุ่นทุกคัน ยังคงได้รับความนิยมชมชอบจนถึงทุกวันนี้



Y2K Jet Engine 2008




อันดับที่ 4
รถมอเตอร์ไซค์เครื่องยนต์ Turbo Jet คันนี้เป็นของเล่นราคาสุดแพงของเศรษฐีบ้าพลังมีต้นกำเนิดของกำลังเป็น เครื่องยนต์ Rolls-Royce Allison Gas TurbineTurboshaft 500P ที่ติดตั้งอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ของทหารทำให้มันเป็นรถจักรยานยนต์ล้อสองคันแรก ของโลกที่มีเครื่องยนต์ขับเคลื่อนแบบกังหันไอพ่น Y2K Jet Engineสร้างโดยวิศวกรเครื่องกลชื่อ Ted McIntyre แห่งบริษัท Marine TurbineTechnologies Inc รถจักรยานยนต์สุดระห่ำคันนี้มีความเร็วสูงสุดซึ่งถูกบันทึกในสถิติโลกที่ 227 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือ 365กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีป้ายบอกราคาเป็นตัวเลขที่แพงระยับถึง 150,000 US$ เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่ามันคือ"รถจักรยานยนต์ที่มีประสิทธิภาพและแพงที่ สุดคันหนึ่งของโลก"โดยการใช้เครื่องยนต์และเฟรมแตกต่างจากรถจักรยานยนต์คัน อื่นๆอย่างสิ้นเชิง การขับขี่และควบคุมตัวรถเป็นไปด้วยความยากลำบากเนื่องจากกำลังที่เกิดจาก เครื่องยนต์สามารถผลักดันตัวรถจนขึ้นถึงจุดสูงสุดของความเร็วจนแทบจะควบคุม ไม่ได้ท่อท้ายปลดปล่อยก๊าซร้อนที่เกิดจากการสันดาปมีอุณหภูมิสูงถึง 900องศาเซลเซียสและอัตราเร่งจากจุดหยุดนิ่งไปสู่ความเร็วสูงสุดเพียงชั่ว พริบตาคงมีแต่พวกสติไม่ค่อยดีและพวกบ้าความเร็วเท่านั้นที่จะยอมจ่ายเงิน จำนวนมหาศาล เพื่อแลกกับความบ้าที่ไม่เหมือนใครอย่างรถมอเตอร์ไซค์ Y2K เจ้าวัตถุอันตรายติดเครื่องยนต์เจ็ทที่วิ่งได้ดีเยี่ยม และทำความเร็วทางตรงได้อย่างไม่มีที่ติแต่ไม่สามารถเลี้ยวมันที่ความเร็ว สูงๆเนื่องจากอาจเกิดการพลิกคว่ำอย่างรุนแรงได้



Honda CB750 1969




อันดับที่ 3
Hondaบริษัทของญี่ปุ่น นำรถจักรยานยนต์รุ่น CBไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปในปี 1969หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กที่ทำยอดขายถล่มทลาย ไปทั่วโลก วิศวกรของ Hondaได้ทำการพัฒนารูปแบบและสมรรถนะของเครื่องยนต์ขนาด 4 กระบอกสูบปริมาตรความจุ 750 ซี.ซี.โดยกำหนดคุณสมบัติของเครื่องยนต์ให้มีความแข็งแกร่งทนทาน ให้พลังสูงสุดที่67 แรงม้า บริษัท Honda วางแผนที่จะเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ให้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของโลก ในด้านคุณภาพและปริมาณเพื่อทำให้แบรนด์มีคุณภาพและเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ เทียบเท่ากับค่ายรถจักรยานยนต์ชั้นนำอย่างTriumph, BMW, และ Harleyเพื่อเป็นพื้นฐานในการออกแบบมอเตอร์ไซค์ให้กับผู้ขับขี่ในทุกระดับ ชั้น รถHonda CB 750 1969เชื่อมโยงรูปแบบของจักรยานยนต์ที่สวยงามกับงานของตัวรถแข่งในแบบ Grand Prix
นอกจากนี้ตำแหน่งมือจับจะยกขึ้นเล็กน้อย และการเน้นไปที่เรื่องของ Dynamicเพื่อการขับขี่ทางไกล ผลผลิตของรถมอเตอร์ไซค์ Honda CB750คืองานทางเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อให้มันมีปริมาณการผลิตที่ครอบคลุม การจำหน่ายไปยังตลาดรถจักรยานยนต์ทั่วโลกและการบำรุงรักษาที่ง่ายดายสำหรับ เจ้าของเนื่องจากความทนทานของเครื่องยนต์ 750 ซี.ซี. สี่ลูกสูบเรียง ถูกออกแบบให้มีความสมดุลย์ในระหว่างการทำงานทุกช่วงรอบของเครื่องอัตราเร่ง จาก 0-100 กิโลเมตรใน 7 วินาที มีความทนทานแข็งแกร่งสามารถใช้งานได้นานถึง 100,000 กิโลเมตรโดยแทบไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเพิ่มเติมมากนักทำให้มันกลายเป็นผู้นำ ของรถจักรยานยนต์ในยุค 1970 ไปโดยปริยาย



Ducati 916 1995




อันดับที่ 2
Ducati916 เป็นรถจักรยานยนต์อิตาลี ที่ถูกผลิตขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักคือการเข้าร่วมทำการแข่งขันในสนามแข่ง มอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์ไบค์ ชิงแชมป์โลกการพัฒนารถจักรยานยนต์ในตระกูล Racing ของค่าย Ducatiนำไปสู่การพัฒนาเครื่องยนต์สี่วาล์ว Fabio Taglioni (1920-2001)หัวหน้าแผนกทีมดีไซน์ ผู้ออกแบบตัวรถ Ducati ตั้งแต่ยุค 1970ใช้เครื่องยนต์ที่ได้รับการปรับปรุงและพัตนาในรุ่น SuperSport (SS)หลังจากผ่านการใช้งานในสนามแข่ง เครื่องยนต์ Ducati 916 อันทันสมัยก็กลายเป็นอนุพันธ์ของรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขันแทบทั้ง สิ้นชุดแคมชาร์ปแบบใหม่ ลิ้น และทางเดินของอากาศ ปรับปรุงระบบสปริงวาล์วDucati 916 เริ่มต้นเปิดเผยโฉมในปี 1994 และได้รับเสียงชื่นชมเป็นอันมากเพราะการออกแบบ และคุณลักษณะทางเทคนิคที่โดดเด่น Massimo Tamburini และSergio Robbiano ทีมงานออกแบบเฟรมและวิศวกรพัฒนาเครื่องยนต์ของ Ducati 916โดยใช้โรงงานของ Cagiva และศูนย์วิจัยเครื่องยนต์ในซานมารีโนโดยโครงสร้างและเครื่องยนต์ของ 916ได้รับการปรับปรุงจนตัวรถขึ้นสู่สมถรรนะสูงสุด Ducati 916ใช้เครื่องยนต์สี่จังหวะ วางทำมุม 90 องศาแบบ L-Twin Cylinder ความจุ 996ซี.ซี. ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮตแคมสี่วาล์วต่อสูบระบายความร้อนด้วยน้ำสร้างพละกำลังได้ 144 แรงม้าที่ 12,000 รอบ/นาที ความเร็วสูงสุดประมาณ 315กิโลเมตรต่อชั่วโมง บนน้ำหนักตัวรถ 157 กิโลกรัมสามารถคว้าชัยชนะให้กับทีมแข่งมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วน



Honda C50 Cub 1958




อันดับที่ 1
รถจักรยานยนต์ Honda Cup เป็นรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กเครื่องยนต์ 50 ซี.ซี.มีรูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยโครงสร้างของตัวรถที่ต่ำทำ ให้การก้าวขึ้นและลงจากรถได้อย่างสะดวกสบาย รวมทั้งขับขี่ง่ายโดยไม่ต้องควบคุมคลัทช์ด้วยการติดตั้งระบบคลัทช์อัตโนมัติ แบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลาง (centrifugalclutch)นอกจากนั้นยังติดตั้งบังลมพลาสติกขนาดเหมาะกับตัวรถ เพื่อป้องกันแรงลมและการกระเด็นของสิ่งสกปรกในขณะขับขี่รวมถึงตระกร้าใส่ของ ใบเล็กด้านหน้าของตัวรถ รถจักรยานยนต์ตระกูล Cup ของHonda เปิดตัวเป็นครั้งแรกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1958ปัจจุบันรถจักรยานยนต์รุ่นนี้มียอดจำหน่ายทั่วโลกมากถึงกว่า 60 ล้านคันแสดงให้เห็นถึงความนิยมและความยอดเยี่ยมคุ้มค่าสมราคากับสมถรรนะของ ตัวรถแบบง่ายๆ แต่มีความคงทนถาวร ระบบต่างๆของตัวรถถูกออกแบบให้มีความง่ายในการบำรุงรักษากลไกของเครื่องยนต์ และระบบเกียร์ รวมถึงระบบระบายความร้อนด้วยอากาศสามารถใช้งานได้ในทุกพื้นที่ของโลก ค่าย Hondaได้ค้นพบวิธีเพิ่มพลังและประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ 4 จังหวะด้วยการเพิ่มความเร็วรอบของเครื่องยนต์ (RPM) ให้สูงขึ้นอีกเล็กน้อย HondaC50 Cup มีเครื่องยนต์สี่จังหวะ 50 ซี.ซี. โอเวอร์เฮตแคมชาร์ป 4.8 แรงม้ามีความเร็วสูงสุดแบบแม่บ้านจ่ายกับข้าวที่ 75 กิโลเมตร/ชั่วโมงทำให้มันกลายเป็นอันดับหนึ่งในประเภทรถจักรยานยนต์ที่มีผู้ นิยมชมชอบมากที่สุดในโลก

0 comments:

Post a Comment